ผู้เสียหายในคดีอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๘ ได้บัญญัติไว้ว่า “บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล
( ๑ ) พนักงานอัยการ
( ๒ ) ผู้เสียหาย”
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย มาตรา ๒๘ ดังกล่าวนี้ ให้อำนาจทั้งราษฎรผู้ได้รับความเสียหายและพนักงานอัยการ สามารถเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาได้เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน หรือความผิดอาญาต่อส่วนตัว
ในสมัยโบราณแต่กาลก่อนมา การควบคุมอาชญากรรมเป็นเรื่องของราษฎรเองทั้งสิ้น กล่าวคือ เมื่อเกิดการกระทำความผิดอาญาขึ้น ราษฎรผู้ได้รับความเสียหายจะต้องฟ้องร้องเองเพื่อให้ศาลตัดสินคดี ตามหลักของการแก้แค้นทดแทนหรือที่เราเรียกกันว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ต่อมาแนวคิดดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปโดยถือกันว่า การควบคุมอาชญากรรมเป็นหน้าที่ของรัฐ เพราะความผิดอาญามีผลกระทบต่อสังคมโดยส่วนรวม สังคมจะต้องรับผิดชอบ จึงได้มีแนวคิดให้รัฐเป็นผู้ฟ้องคดีอาญา โดยพนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องร้อง
ในประเทศภาคพื้นยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน หรือประเทศสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ในประเทศเอเชียของเรา เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย กฎหมายกำหนดให้เพียงพนักงานอัยการเท่านั้นที่จะฟ้องร้องคดีอาญาได้ ส่วนราษฎรผู้เสียหายไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเอง แต่ของประเทศไทยเรานั้นระบบการฟ้องร้องคดีอาญาเป็นระบบผสม ให้อำนาจทั้งรัฐและราษฎรผู้ได้รับความเสียหายในการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดทางอาญา
ผู้เสียหาย มีบัญญัติใว้ใน มาตรา ๒ (๔) ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้เสียหาย หมายความถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๔ , ๕ และ ๖”
จากคำนิยามมาตรา ๒ (๔) นี้ ผู้เสียหายต้องเป็นบุคคลไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งก็คือ มนุษย์เรานี่เอง หรืออาจจะเป็นนิติบุคคล คือ บุคคลที่กฎหมายสมมุติขึ้นมาให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเช่นเดียวกับมนุษย์เรา เช่น กระทรวง กรม บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นต้น ผู้เสียหายสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ
(ก) ผู้เสียหายที่แท้จริง
(ข) ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริง ตามมาตรา ๔ , ๕ และ ๖
(ก) ผู้เสียหายที่แท้จริง
ผู้เสียหายที่แท้จริงนี้ พิจารณาได้จากมาตรา ๒ (๔) ตอนต้นที่ว่า “ผู้เสียหาย หมายความถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง.....” จากคำนิยามนี้สามารถแยกได้ว่า กรณีที่จะเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงนั้น ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ๓ ประการ คือ
๑. ต้องมีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นต่อบุคคลนั้น
๒. บุคคลนั้นต้องได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดอาญานั้น กล่าวคือ ต้องเป็น “ผู้เสียหายโดยพฤตินัย”
๓. บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย กล่าวคือ ต้องเป็น “ผู้เสียหายโดยนิตินัย”
ซึ่งขอกล่าวในรายละเอียดดังต่อไปนี้
(๑) ต้องมีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นต่อบุคคลนั้น
ความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นต่อผู้เสียหาย อาจจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายใด ๆ ที่มีโทษทางอาญาก็ได้ หากการกระทำใดไม่เป็นความผิดทางอาญาเสียแล้ว บุคคลผู้ได้รับความเสียหายก็ไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๔๔-๑๑๔๕/๒๕๐๖ ผู้ซื้อซื้อเสื้อผ้าไปเอง โดยเห็นว่าราคาถูก ไม่ใช่ฉ้อโกง ผู้ซื้อไม่เป็นผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๕๕/๒๕๐๘ ผู้ที่ปลูกต้นพลู แต่ต้นพลูได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินเสียแล้ว เจ้าของที่ดินได้ตัดต้นพลู แม้จะมีผู้อื่นร่วมตัดต้นพลูด้วย ย่อมไม่ผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ผู้ปลูกต้นพลูไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๘๓/๒๕๑๐ ผู้ตายและคู่ซ้อมสมัครใจชกมวยกันที่สนามซ้อมมวยของเจ้าของสนามซ้อม มีการสวมนวมชกกัน ๕ ยก ชก ๓ นาที พัก ๒ นาที มีกรรมการห้ามและกรรมการจับเวลา ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตาย เพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง บิดาของผู้ตายไม่มีอำนาจฟ้องคู่ซ้อมของผู้ตาย เพราะผู้ตายไม่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย เนื่องจากสมัครใจเข้าชกมวยซึ่งกันและกัน
(๒) บุคคลนั้นต้องได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำความผิดอาญานั้น กล่าวคือ “เป็นผู้เสียหายโดยพฤตินัย”
ผู้เสียหายต้องได้รับความเสียหาย เดือดร้อน ยุ่งยาก ซึ่งเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการกระทำความผิดอาญานั้น เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๔๘/๒๔๘๙ คำกล่าวหมิ่นประมาทพระทั้งวัดและวัดนั้นมีพระเพียง ๖ รูปนั้น ถือว่าพระทุกรูปเป็นผู้เสียหาย พระรูปใดรูปหนึ่งก็ร้องทุกข์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๙๔/๒๕๑๗ บุตรโจทก์ถูก ส.ขับรถยนต์ชนถึงแก่ความตาย โจทก์จัดการแทนบุตรตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๕ (๒) จำเลยเป็นนายตำรวจผู้สืบสวนสอบสวนคดีนั้น ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คือ จดคำพยานไม่ตรงกับคำให้การของพยานโดย
ไม่ชอบ เพื่อช่วยเหลือ ส. มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ถือว่าการกระทำผิดของจำเลย
เป็นการกระทำต่อโจทก์ โจทก์เป็นผู้เสียหายโดยตรง มีอำนาจฟ้องตาม ป.อ.มาตรา ๑๕๗, ๒๐๐
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๘๓/๒๕๒๒ สามีจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นโดยที่ยังไม่ขาดจากภริยาเดิมที่ได้จดทะเบียนสมรสไว้ แต่อ้างกับเจ้าหน้าที่จดทะเบียนว่าไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน ภริยาเดิมเป็นผู้เสียหายตาม ป.อ.มาตรา ๑๓๗ ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๘/๒๕๓๕ ในขณะเกิดเหตุแม้โจทก์ร่วมจะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ที่ถูกจำเลยลักไป เมื่อถูกจำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๓(๑)(๒)
(๓) บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย กล่าวคือ ต้องเป็น “ผู้เสียหายโดยนิตินัย”
หมายถึง ผู้เสียหายจะต้องไม่เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด หรือ เป็นผู้ที่ยินยอมให้มีการกระทำความผิด หรือพัวพันกับการกระทำความผิดหรือเป็นการกระทำโดยมิชอบ เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๘-๗๙/๒๕๐๒ โจทก์จำเลยทะเลาะกันแล้วต่างคนต่างด่ากัน จำเลยด่าก่อนโจทก์จึงด่าตอบ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ฟ้องจำเลยว่าดูหมิ่นซึ่งหน้าไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๕๔/๒๕๐๒ หญิงยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกนั้น ถือว่าหญิงมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย จึงมิใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๔) และแม้หญิงจะถึงแก่ความตาย บิดาของหญิงนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องผู้ที่ทำให้หญิงนั้นแท้งลูก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๘๑/๒๕๐๓ ผู้กู้ที่ยอมตกลงในการกู้ให้เขาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรานั้น ไม่ใช่ผู้เสียหายในกรณีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๓-๒๒๔/๒๕๑๓ โจทก์จำเลยต่างสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายกันและกัน โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๘๑/๒๕๒๔ ผู้เสียหายทั้งสามเป็นผู้ใช้ให้จำเลยนำเงินไปซื้อสลากกินรวบอันเป็นความผิด จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้ เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๖๑/๒๕๓๙ การที่ผู้ตายและจำเลยต่างขับรถด้วยความเร็ว และต่างขับรถเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่ง ฟังได้ว่าขับรถโดยประมาททั้งสองฝ่าย เมื่อผู้ตายมีส่วนกระทำผิดด้วย ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๔) โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามมาตรา ๕ (๒) ไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา ๓๐
เมื่อเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย โดยมีคุณสมบัติครบทั้ง ๓ ประการ ดังกล่าวมานี้แล้ว ก็มีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้ตาม มาตรา ๒๘ (๒) โดยถือว่าเป็นโจทก์และคู่ความตาม มาตรา ๒ (๑๔) (๑๕) ซึ่งนอกจากผู้เสียหายจะมีอำนาจฟ้องคดีโดยตนเองแล้ว ผู้เสียหายยังมีอำนาจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีของตนอีก คือ ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ถอนฟ้องคดีอาญาหรือคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หรือยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว
(ข)ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริง ตามมาตรา ๔ , ๕
และ ๖
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) บัญญัติว่า “ผู้เสียหาย หมายความว่า บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๔,๕ และ ๖”
นอกเหนือจากผู้เสียหายที่แท้จริงแล้ว ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริง ตามมาตรา ๔,๕ และ ๖ ก็เป็น “ผู้เสียหาย” ด้วย ตามคำนิยามตอนท้ายของมาตรา ๒ (๔) ข้างต้นนี้ จึงมีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓
๑. ผู้มีอำนาจจัดการแทน ตามมาตรา ๔
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔ บัญญัติว่า “ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามี หญิงนั้นมีสิทธิฟ้องคดีได้เองโดยมิต้องได้รับอนุญาตของสามีก่อน
ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๕ (๒) สามีมีสิทธิฟ้องคดีอาญาแทนภริยาได้ ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา”
คำว่า “สามีภริยา” ตามมาตรา ๔ ต้องเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริง ตามมาตรา ๔ นี้ หมายความถึงกรณีตามวรรค ๒ กล่าวคือ สามีมีสิทธิฟ้องคดีรวมทั้งสิทธิอื่น ๆ ตามมาตรา ๓ แทนภริยา เมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา แต่ก็ไม่จำต้องถึงขึ้นมอบอำนาจให้สามีกระทำการแทน สามีก็เป็นผู้เสียหาย เพราะเป็น “ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริง” (คือภริยา)
เงื่อนไขในการจัดการแทนจะต้องประกอบด้วย
๑) ต้องมีการอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา โดยไม่จำต้องทำเป็นหนังสือแม้จะอนุญาตให้ฟ้องคดีก็ตาม เพราะไม่ใช่การมอบอำนาจในฐานะตัวการตัวแทน
๒) ไม่จำกัดประเภทความผิด ไม่ว่าภริยาจะเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงในความผิดฐานใด ๆ
๓) แม้ภริยาจะจัดการเองได้ เช่น ถูกทำร้ายร่างกายแต่ไม่ถึงขั้นไม่สามารถจัดการเองได้ ก็อนุญาตให้สามีจัดการแทนได้
มาตรา ๔ วรรค ๒ นี้ หมายความเฉพาะกรณีที่สามีจัดการแทนเมื่อได้รับอนุญาต
โดยชัดแจ้งจากภริยา แต่ภริยาจะจัดการแทนสามีไม่ได้แม้สามีจะอนุญาตโดยชัดแจ้งก็ตาม เว้นแต่จะมอบอำนาจในฐานะตัวการและตัวแทน เช่น สามีเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงมอบอำนาจให้ภริยาไปร้องทุกข์ หรือมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ภริยาไปฟ้องคดีแทน เป็นต้น
๒. ผู้มีอำนาจจัดการแทน ตามมาตรา ๕
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕ บัญญัติว่า “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้
(๑) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อ
ผู้เยาว์ หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล
(๒) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้
(๓) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคล เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น”
(๒.๑) กรณีตามมาตรา ๕ (๑) “ผู้แทนโดยชอบธรรม” ตามอนุมาตรานี้ได้แก่ บิดามารดา ผู้ปกครอง แต่บิดาจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๖ และเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ตามมาตรา ๑๕๖๙ เมื่อเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๔๖ เด็กเกิดจากหญิงซึ่งมิได้สมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น บุตรผู้เยาว์จึงอยู่ใต้อำนาจปกครองของมารดา ตามมาตรา ๑๕๖๖ มารดาจึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ตามมาตรา ๑๕๖๙ แต่เพียงผู้เดียว ส่วนบิดาไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๘๒/๒๕๒๗ บิดาของผู้เยาว์ซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ทั้งไม่ปรากฏว่าได้จดทะเบียนว่าผู้เยาว์เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าผู้เยาว์เป็นบุตร ไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ และไม่มีอำนาจจัดการร้องทุกข์แทนผู้เยาว์ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคแรก จึงถือได้ว่าไม่มีคำร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจยื่นฟ้องคดีต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๓๐๖/๒๕๔๕ ผู้เสียหายอายุ ๑๗ ปี เป็นบุตรของโจทก์ร่วมกับ ส. แต่โจทก์ร่วมกับ ส. มิได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้เสียหายจึงมิใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ร่วมเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้จดทะเบียนว่าผู้เสียหายเป็นบุตร โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจปกครอง และมิใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหายที่จะมีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕(๑) จึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและไม่มีฐานะเป็นโจทก์ที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาได้
(๒.๒) กรณีตามมาตรา ๕(๒) ตามอนุมาตรานี้ “ผู้บุพการี” ถือตามความเป็นจริง ดังนั้น บิดาซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาแม้จะไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร แต่ก็ถือว่าเป็นผู้บุพการี
ส่วน “ผู้สืบสันดาน” ก็ถือตามความเป็นจริงเช่นเดียวกัน แต่ “ผู้รับบุตรบุญธรรม” ไม่ใช่ผู้บุพการีของบุตรบุญธรรม และ “บุตรบุญธรรม” ก็ไม่ใช่ผู้สืบสันดาน เพราะต่างก็ไม่เป็นผู้สืบสายโสหิต
“สามีภริยา” ต้องเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ต้องจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๗ ตามมาตรา ๕ (๒) นี้ สามีจัดการ
แทนได้เฉพาะกรณีภริยาถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ ซึ่งกระทำได้ทันทีโดยผลของกฎหมาย โดยไม่ต้องมีการอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยาอย่างเช่นมาตรา ๔ วรรค ๒ เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๓๕/๒๔๙๔ หญิงที่อยู่กินกับชาย โดยไม่จดทะเบียนสมรสนั้น ไม่ใช่ภรรยาอันชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นเมื่อชายถูกเขาฆ่าตายหญิงนั้นย่อมมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องหรือร้องขอเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการฟ้องผู้ฆ่าเป็นจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๓/๒๔๙๗ คำว่า “ผู้สืบสันดาน” นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕ (๒) มิได้ให้คำจำกัดความไว้อย่างใดดังนั้นย่อมหมายถึงผู้สืบสันดานตามความเป็นจริง
ในคดีที่อัยการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนามารดาในฐานะผู้ปกครองบุตรนอกสมรสของผู้ตายมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมและศาลมีอำนาจสั่งให้ไต่สวนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๕๖/๒๕๐๙ (ประชุมใหญ่) คำว่าสืบสันดานตามพจนานุกรมหมายความว่า สืบเชื้อสายมาโดยตรง และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๘๖,๑๕๘๗,๑๖๒๗ แสดงว่า บุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะแตกต่างกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม และผู้รับบุตรบุญธรรมก็มีฐานะต่างกับผู้บุพการีโดยตรงของบุตรบุญธรรมอยู่หลายประการ มาตรา ๑๕๘๖,๑๖๒๗ เป็นบทบัญญัติพิเศษให้สิทธิบางประการแก่บุตรบุญธรรมในทางแพ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางครอบครัวและมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมเท่านั้น ต้องใช้โดยเคร่งครัด เฉพาะการตีความถ้อยคำในประมวลกฎหมายอาญาก็ต้องตีความโดยเคร่งครัด จึงหาชอบที่จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าวมาใช้ตีความคำว่าผู้สืบสันดาน ตามมาตรา ๗๑ วรรคสอง ไม่ บุตรบุญธรรมจึงไม่ใช่ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการีตามาตรา ๗๑ จึงยอมความไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๘๔/๒๕๑๖ (ประชุมใหญ่) ผู้บุพการีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕ (๒) นั้น หมายถึง ผู้บุพการีตามความเป็นจริง
โจทก์กับนางลั่นแต่งงานกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ผู้ตายอายุ ๑๗ ปี ยังเป็นผู้เยาว์ เป็นบุตรอยู่เรือนเดียวกันและอยู่ในความปกครองของโจทก์กับนางลั่น โจทก์เป็นผู้ไปแจ้งการเกิดว่าผู้ตายเป็นบุตรของตน และเป็นผู้ให้การศึกษาแก่ผู้ตายตลอดมา แต่โจทก์ไม่เคยยื่นคำร้องต่ออำเภอรับรองผู้ตายว่าเป็นบุตร แม้ผู้ตายจะมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ แต่โจทก์ก็เป็นผู้บุพการีของผู้ตายตามความเป็นจริง เมื่อผู้ตายถูกจำเลยทำร้าย
ถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้บุพการีตามความเป็นจริงของผู้ตายย่อมมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้ตายได้
(๒.๓) กรณีตามมาตรา ๕ (๓) “ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคล” หมายถึง ผู้ที่แสดงออกซึ่งความประสงค์ของนิติบุคคลนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ซึ่งมีอำนาจกระทำในนามของนิติบุคคลได้โดยไม่ต้องมีการมอบหมาย เพราะเป็นการจัดการแทนผู้เสียหายที่เป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๕ (๓) นี้ แต่ถ้าผู้แทนนิติบุคคลไม่ประสงค์กระทำการเอง ก็สามารถมอบอำนาจให้ผู้ใดไปกระทำการแทนก็ได้ เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๑๐/๒๕๑๕ หุ้นส่วนที่ไม่ใช่ผู้จัดการหรือผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นนิติบุคคลย่อมไม่มีอำนาจร้องทุกข์แทนห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
ใบมอบอำนาจซึ่งมีข้อความว่ามอบอำนาจให้ฟ้องร้องต่อศาลเกี่ยวกับคดีเรื่องเช็คได้ทุกศาล เป็นการมอบอำนาจให้ดำเนินการแทนเฉพาะการฟ้องร้องคดีต่อศาล ไม่รวมถึงการมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ด้วย
โจทก์ฟ้องร้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ หลังจากวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ๕ เดือนเศษ โดยโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายใน ๓ เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด ฟ้องโจทก์ย่อมขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๒๕/๒๕๑๖ แม้ในขณะยื่นฟ้องกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์มีอำนาจจัดการแทนโจทก์ได้ แต่ต่อมาผู้ที่มีอำนาจกระทำการเป็นผู้แทนของโจทก์เปลี่ยนแปลงไปเป็นของบุคคลอื่นแล้ว สิทธิที่จะจัดการแทนโจทก์ของกรรมการผู้จัดการคนเดิมย่อมสิ้นสุดลง
การพิจารณาถึงตัวผู้ที่มีอำนาจจัดการแทนบริษัทโจทก์ในปัจจุบันย่อมต้องถือเอาข้อความในทะเบียนนิติบุคคลของหอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเป็นหลักฐาน แม้กรรมการผู้จัดการคนเดิมจะคัดค้านว่า การแก้ไขข้อบังคับของบริษัทได้กระทำไปโดยมติที่ไม่ชอบด้วยหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทก็เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๓๒๘/๒๕๓๑ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของบริษัทตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายมีหน้าที่จำหน่ายสินค้าและเก็บรวบรวมเงินค่าสินค้าจากลูกค้าส่งให้บริษัทตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเพียงตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจของบริษัทให้กระทำการได้เพียงเท่าที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น หามีอำนาจกระทำกิจการอื่นใดนอกเหนือจากนี้ไม่ จำเลยที่ ๑ จึงมิใช่ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕ (๓) การที่จำเลยที่ ๑ โดยลำพังหรือร่วมกับจำเลยที่ ๒ ยักยอก
ทรัพย์ของบริษัท บริษัทย่อมเป็นผู้เสียหาย โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทจึงมิใช่ผู้เสียหายตามความในมาตรา ๒ (๔) อันจะมีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๘ (๒)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๕๒/๒๕๔๔ จำเลยทำเอกสารเท็จยื่นขอเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของมณฑลทหารบกที่ ๓๑ แม้ค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของมณฑลทหารบกที่ ๓๑ แต่มณฑลทหารบกที่ ๓๑ เป็นเพียงหน่วยงานของกองทัพบกสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๗ กำหนดให้กองทัพบกเป็นนิติบุคคล มณฑลทหารบกที่ ๓๑ ไม่มีฐานะ เป็นนิติบุคคลจึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือถือว่าเป็นผู้แทนอื่นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕ (๓) การที่ พลตรี ศ. ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๓๑ มอบอำนาจให้พันโท ป. มาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวแทนกองทัพบก จึงถือว่าไม่มีการร้องทุกข์พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน
๓. ผู้แทนเฉพาะคดี ตามมาตรา ๖
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๖ บัญญัติว่า “ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือเป็นผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถไม่มีผู้อนุบาล หรือซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด รวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถนั้น ๆ ญาติของผู้นั้น หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องอาจร้องต่อศาลขอให้ตั้งเขาเป็นผู้แทนเฉพาะคดีได้
เมื่อได้ไต่สวนแล้วให้ศาลตั้งผู้ร้องหรือบุคคลอื่น ซึ่งยินยอมตามที่เห็นสมควรเป็นผู้แทนเฉพาะคดี เมื่อไม่มีบุคคลใดเป็นผู้แทนให้ศาลตั้งพนักงานฝ่ายปกครองเป็นผู้แทน
ห้ามมิให้เรียกค่าธรรมเนียมในเรื่องขอตั้งเป็นผู้แทนเฉพาะคดี”
การร้องขอให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดี ตามมาตรานี้มีได้ ๒ กรณี คือ
(๓.๑) ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ หรือมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์
(๓.๒) ผู้วิกลจริตหรือผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้อนุบาล หรือผู้อนุบาลไม่สามารถทำหน้าที่หรือมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้ไร้ความสามารถ
แต่ต้องเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือผู้ไร้ความสามารถยังมีชีวิตอยู่ด้วย มิฉะนั้นก็จะขอให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีไม่ได้ เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๖๕/๒๕๓๒ การตั้งผู้แทนเฉพาะคดีก็เพื่อดำเนินคดีแทนผู้เสียหายที่เป็นผู้เยาว์หรือเป็นผู้วิกลจริตที่ไม่มีผู้ดำเนินคดีแทน ดังนั้นเมื่อผู้เสียหายถึงแก่ความตายไปก่อนที่ศาลจะตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนเฉพาะคดีแล้ว ย่อมไม่มีเหตุที่จะต้องตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อดำเนินคดีแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๖
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๖๒๕/๒๕๓๒ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ตั้ง โจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของ ต. และมีอำนาจฟ้องคดีแทน ต. เมื่อปรากฏว่า ต. ซึ่ง โจทก์อ้างว่าเป็นผู้วิกลจริตถึงแก่กรรมไปก่อนวันนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวแล้วศาลก็ไม่อาจตั้ง โจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะ คดีของ ต. ได้ เพราะ ต. ไม่ใช่ผู้วิกลจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างต่อไป ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มาตรา ๒๙ วรรคสองที่บัญญัติว่าถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้วิกลจริตซึ่งผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้ว ผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็ได้ นั้น หมายถึง กรณีที่ศาลได้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายไว้แล้วก่อนที่ผู้เสียหายตาย หาได้หมายความรวมถึงกรณีนี้ซึ่ง ผู้เสียหายได้ตายไปเสียก่อนที่ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๕๘/๒๕๔๑ พ. มิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ น. ได้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ แม้ตามคำฟ้องจะระบุว่า น.ผู้เยาว์โดย พ. บิดาผู้ปกครองผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นโจทก์ แต่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องปรากฏข้อเท็จจริงว่า น.เป็นบุตรของโจทก์อันเกิดกับ ร.ภรรยาของโจทก์ ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย และ ร.หนีออกจากบ้านตั้งแต่ น.ยังเล็กอยู่ พ.เป็นผู้ให้ความอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาและให้ น.ใช้นามสกุลกรณีเป็นเรื่องมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของ น.ผู้เยาว์ไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่ได้ ดังนั้น ญาติของ น.ผู้เยาว์หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องจึงอาจร้องขอต่อศาลชั้นต้นขอให้ตั้งเป็นผู้แทนเฉพาะคดีได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๖ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ถือได้โดยปริยายว่า ศาลชั้นต้นตั้งให้ พ.เป็นผู้แทนเฉพาะคดีตามกฎหมายอีกทั้งยังปรากฏว่าก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาศาลชั้นต้นยังมีคำสั่งตั้ง พ.เป็นผู้แทนเฉพาะคดีอีกด้วยเช่นนี้ พ.จึงมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยแทน น.ผู้เยาว์ได้
กล่าวโดยสรุปประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย ให้ความสำคัญกับราษฎรผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดอาญา จึงให้อำนาจฟ้องคดีได้เอง แยกต่างหากจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และถึงแม้ผู้เสียหายที่แท้จริงจะต้องมีอันเป็นไป เช่น ถึงแก่ความตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการฟ้องคดีเองได้ กฎหมายก็ยังได้ให้อำนาจแก่บิดามารดา
หน้า ๑๑
ผู้ปกครอง ผู้อนุบาล คู่สมรส หรือญาติพี่น้อง เข้ามาจัดการแทน หรือในกรณีของนิติบุคคลซึ่งเป็นบุคคลที่กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิและหน้าที่เหมือนเช่นบุคคลธรรมดาแต่ก็ไม่มีชีวิตจิตใจ
จึงให้ผู้แทนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดามีอำนาจจัดการแทนในคดีอาญาได้ และบุคคลซึ่งเข้ามาจัดการแทนเหล่านี้ก็อยู่ในฐานะของผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องคดีและอำนาจกระทำการต่างๆตามที่กฎหมายกำหนดไว้ทุกประการ มิได้เป็นเพียงตัวแทนตามหลักกฎหมายเรื่องการเป็นตัวการตัวแทนแต่อย่างใด
คณะวิชาการกฎหมาย
สถาบันตุลยภัทร์ ลอว์เซ็นเตอร์
๑ มกราคม ๒๕๕๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น